วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

การถามทิศทาง (Asking for Directionx)

การถามทิศทาง (Asking for Directionx)
การถามทิศทาง
Excuse me. ขอโทษครับ (ใช้เริ่มก่อนการถาม)
Do you know where …… is? คุณรู้ไหมว่า ……. อยู่ที่ไหน
Do you know where Michael is? คุณรู้ไหมว่า ไมเคิลอยู่ที่ไหน
Do you know where the toilet is? คุณรู้ไหมว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน
Do you know the way to….? คุณรู้จักทางที่จะไป .. ไหม
Where is the nearest public telephone? โทรศัพท์สาธารณะใกล้ทีสุดอยู่ที่ไหน
How can I get to…..? ไม่ทราบว่าผมจะไป …. ได้อย่างไร
การบอกทิศทาง
Turn left. / Turn right. เลี้ยวซ้าย / เลี้ยวขวา
On the left. / On the right. ทางซ้าย / ทางขวา
Go straight. ตรงไปข้างหน้า
Go straight on./Go ahead. ตรงไปข้างหน้า
Go past. / Walk past. เดินผ่านไป
Keep going until you get to…. เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง…..
Take the first/second turn. เลี้ยวที่แยกแรก / แยกที่สอง
It's near/close to ….. มันอยู่ใกล้กับ
It's not far from here. ไม่ไกลจากที่นี่
It's very far from here. มันไกลจากที่นี่มาก
It's 5 kilometers from here. มันอยู่ห่างจากนี่ 5 กิโลเมตร
It's about 500 meters away from here. มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร

การขอโทษ (Apologizing)

การขอโทษ (Apologizing)
การขอโทษ สำนวนที่ใช้ในการขอโทษ ได้แก่
I’m sorry. ผมขอโทษ
I’m sorry. I’m late. ขอโทษที่มาช้า
I’m sorry I troubled you. ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก
Excuse me, please. ขอโทษครับ/ค่ะ
Excuse me for interrupting. ขอโทษที่รบกวน
Excuse me for a moment. ขอโทษขอเวลาสักครู่
การให้อภัย สำนวนที่ใช้ในการตอบรับคำขอโทษ
That’s all right. ไม่เป็นไร (ตอบรับคำขอโทษ)
Don’t worry (about it). อย่ากังวลไปเลย
No problem. ไม่มีปัญหา
That's O.K. หรือ I'm O.K. ไม่เป็นไร หรือ ผมไม่เป็นไร

10 อันดับ: คำศัพท์โฆษณาภาษาอังกฤษน่ารู้

จากบทความ 10 อันดับ: คำศัพท์การตลาดสุดฮิต เรามาต่อกันที่คำศัพท์ด้านการโฆษณาภาษาอังกฤษกันบ้างครับ เพราะการตลาด (marketing) กับโฆษณา (advertisement) มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

โฆษณาภาษาอังกฤษ
โฆษณาภาษาอังกฤษร้าน Toys “R” Us
1. advertisement – แอด-เฟอ-ทายส์-เม้นท์ แปลว่า โฆษณา 
เป็นคำหลักของคอลัมน์นี้เลยครับ สามารถเรียกสั้นๆว่า ads (แอดส์) ได้เพราะมีความหมายเดียวกัน 


นอกจากนี้ยังมีศัพท์ที่น่าสนใจคือ propaganda (พร็อพ-พะ-แกน-ดา) แปลว่าโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งแตกต่างจาก advertisement ตรงที่ propaganda มักจะมีการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และมุ่งไปที่การเปลี่ยนแนวความคิดของคนมากกว่า advertisement ที่เน้นการนำเสนอสรรพคุณของสินค้า
2. billboard – บิล-บอร์ด แปลว่า ป้ายโฆษณากลางแจ้ง
เคยได้ยิน billboard chart(ตารางเพลงฮิต) กันรึเปล่าเอ่ย แต่ในที่นี้ไม่ใช่นะครับ สมัยนี้พอมีสิ่งก่อสร้างใหม่อย่าง หอพัก หรือ ห้างสรรพสินค้า ก็มักจะมี billboard โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด แถมยังพัฒนาไปเป็น digital billboard ที่มีภาพและตัวอักษรเคลื่อนไหวได้อีกด้วย เพราะป้ายโฆษณาธรรมดาๆอาจดูรกสายตาแถมยังน่าเบื่อ
เพิ่มเติม – ชาวอังกฤษใช้คำว่า hoarding แทนนะครับ
3. circulation เซอร์-คิว-เล-เชิน แปลว่า ยอดจำหน่ายสิ่งตีพิมพ์
ปกติแล้วเรามักจะคิดไปว่า circulation = การไหลเวียนของเลือด แต่ในวงการโฆษณาคำนี้หมายถึงยอดขายของสื่อสิ่งพิมพ์ในระยะเวลาหนึ่งนะครับ
4. classified ads – แคลส-ซิ-ฟายด์-แอดส์ แปลว่า โฆษณาย่อย
ในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ธุรกิจมักจะมีหน้า classified ซึ่งหมายถึงหน้าประกาศโฆษณาเล็กๆที่แบ่งเป็นหมวดหมู่เอาไว้ครับ เช่น ประกาศรับสมัครงาน ประกาศขายของ เป็นต้น ของแบบนี้ต้องมีการจองด้วยนะ
5. commercial – คะ-เมอร์-เชิล แปลว่า โฆษณาโทรทัศน์หรือวิทยุ
คนที่ชอบดูละครหรือซีรีส์คงคุ้นเคยกับคำนี้ดีครับ เพราะเวลาถึงฉากสำคัญทีไรช่องมักจะถูกตัดไปที่ commercial เสมอเลย หรือแม้แต่ทางวิทยุก็ตาม ที่มักมีการสอดแทรกโฆษณาหลังจบเพลง บางครั้งก็น่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ
6. double-page spread – ดับ-เบิล-เพจ-สเปร็ด แปลว่า โฆษณาสองหน้า
โฆษณาแบบนี้จัดเต็มไปเลย 2 หน้า มีพื้นที่ใส่ภาพและข้อความเต็มที่ มักเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารต่างๆ
7. eye-catcher อาย-แค็ท-เชอร์ แปลว่า สะดุดตา
คุณสมบัติที่สำคัญของโฆษณา แน่นอนว่าต้องมีจุดเด่นที่ทำให้คนจดจำเราได้ ถ้าโฆษณาไม่eye-catching ก็คงผิดวัตถุประสงค์ไป
8. gimmick – กิม-มิค แปลว่า ลูกเล่น
นอกจากความสะดุดตาแล้ว gimmick ยังเป็นตัวเสริมที่ทำให้โฆษณาแตกต่างและน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าโฆษณาตัวไหนมีลูกเล่นที่แปลกใหม่ย่อมส่งผลดีต่อตัวสินค้าแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการถ่ายทำ หรือเนื้อหาที่จะนำเสนอ
9. prime time พรายม์-ไทม์ แปลว่า ช่วงเวลาที่มีผู้ชมโทรทัศน์มากที่สุด
โดยมากจะอยู่ในช่วง 1 ทุ่ม- 5 ทุ่ม การจัดตารางของช่องต่างๆ ต้องมีการเลือกรายการที่มีแนวโน้มว่าจะมีผู้ชมเยอะที่สุดไปวางในช่วงเวลา prime time อย่างแน่นอน หรือจะใช้คำว่า the evening hours ก็ได้เช่นกัน
10. slot – สล็อท แปลว่า กำหนดการตาราง
วงการโฆษณาจะใช้ slot แทนช่องเวลาในการฉาย commercial โดยผู้จะลงโฆษณาต้องมาติดต่อกับสื่อโทรทัศน์เพื่อหา slot ว่างที่จะลงโฆษณา
สมัยนี้โฆษณาได้ยกระดับจากการลงประกาศในสื่อยอดนิยมอย่างโทรทัศน์และวิทยุ มาเป็นสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Twitter เสียแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนใช้บริการของsocial media ทั้งสิ้น ทำให้เจาะกลุ่มตลาดเป้าหมายได้มากกว่า 

โฆษณาภาษาอังกฤษ

10 ศัพท์ภาษาอังกฤษสุดฮิต คนไทยออกเสียงผิดบ่อย

สังเกตว่าสิ่งที่สำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ คือการสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจ ถ้าเราไม่สามารถออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องได้แล้ว จะเอามารวมเป็นประโยคให้ถูกต้องได้ยังไงจริงไหมครับ ในบทความชุด “10 ศัพท์ภาษาอังกฤษสุดฮิต คนไทยออกเสียงผิดบ่อย” ผมพยายามรวบรวมคำศัพท์ที่เราออกเสียงผิดบ่อย ซึ่งจะมาจากประสบการณ์ตรงบ้าง หนังสือ หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง เรามาดูกันเลยครับ
mispronounced-words
1. chaos (n.) เค-อ็อส
Total lack of order, confusion, mess, disorder
ความสับสน วุ่นวาย
หลายๆคนพอเห็นตัว ch ก็พากันออกเสียงว่า ชา-ออส กันถ้วนหน้า ผมเองสมัยยังเด็ก ชอบเล่นเกมส์ DotA ก็จะมีตัวละครหนึ่งชื่อว่า Chaos Knight เพื่อนๆก็เรียกว่า ชาออสไนท์ กันถ้วนหน้า เอาก็เอาวะ ชาออสไนท์ก็ได้ บางคนถึงกับอ่านว่า “เช้าส์” เลยทีเดียว แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่าเค-อ็อส ถึงจะถูกต้องนะครับ
2. comfortable (adj.) คั๊มฟ-ทะเบิล
Providing physical comfort; easy; relaxing
ความสะดวกสบาย
ตอนเป็นเด็กผมชอบอ่านคำนี้ว่า คอม-ฟ้อร์ท(เสียงสูง)-เทเบิล แต่เพิ่งมารู้ว่ามันผิด ผิดตรงการเน้นเสียงนี่แหละ เราจะไปเน้นที่พยางค์สองของคำ  ซึ่งจริงๆแล้วต้องออกเสียง ฟึ่ท สั้นๆหลังพยางค์แรก กลายเป็น คั๊มฟ-ทะเบิล แทน
3. effect (n., v.) อิ-เฟ็คท์
Something brought about by a cause or agent; a result
ผลกระทบ ผลลัพธ์
สำหรับศัพท์ภาษาอังกฤษตัวนี้เราจะอ่านผิดบ่อยมาก เพราะดันไปยึดติดกับคำว่า special effectสเปเชียล เอฟเฟ็คท์ พอเจอคำนี้เข้าไปก็อ่านว่า เอฟเฟ็คท์ กันถ้วนหน้าเชียว คำอ่านที่ถูกต้องจริงๆคือ อิ-เฟ็คท์ ครับ ออกเสียง f แค่ตัวเดียวพอ อ่านเร็ว เน้นพยางค์หลังด้วยนะ
4. etc. (abbr.) เอ็ท-เซเทอรา
And so on, and so forth, and the rest
และอื่นๆ
มองแวบแรกอย่าไปคิดว่า etc. เป็นชื่อวงดนตรีเชียวนะครับ จริงๆแล้วมันย่อมาจากคำว่า et cetera เป็นภาษา Latin ที่หมายถึง และอื่นๆอีกมากมาย ที่เรามักเห็นตอนท้ายประโยคเหมือนกับ ฯลฯ ของภาษาไทยนั่นเอง
จากประสบการณ์พรีเซ้นท์งานภาษาอังกฤษในห้องเรียน เคยมีกลุ่มหนึ่งทำสไลด์แล้วใช้คำว่า etc. แต่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงยังไง บางคนก็ข้ามไปเลย และมีคนนึงอ่านว่า อีทีซี เฉยเลย ที่ถูกคือ เอ็ท-เซเทอรา ต้องอ่านให้เร็วนิดนึงนะครับ ฝรั่งเค้าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
5. island (n.) ไอ-เลินด์
Piece of land completely surrounded by water; raised area or a platform set aside for some specific purpose
เกาะ
ผมว่าคนส่วนมากต้องเคยอ่านคำนี้ผิดบ้างแหละ จะอ่านว่า ไอซ์-แลนด์ หรือ อิส-แลนด์ ก็ตามแต่ คำนี้เราจะไม่ออกเสียงตัว s นะครับ ให้อ่านว่า ไอ-เลินด์ ไปเลย ขืนอ่านผิดๆคนฟังจะเข้าใจว่าเราหมายถึงประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) ไปโน่น จะว่าไปแล้ว Iceland ก็ถือเป็นเกาะๆหนึ่ง เป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในยุโรปเลย
ว่าแต่ว่าแปลกดีนะครับที่ ประเทศ Iceland มีทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด ขณะที่ประเทศGreenland กลับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งนะเนี่ย :)
greenland-iceland
6. jewelry (n.) จูวล์-รี่
Ornaments for personal adornment made of precious metals or set with gemstones
เครื่องเพชรพลอย
ตามร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆมักลงท้ายด้วยคำว่า จิวเวลรี่ โอเคครับเห็นคำนี้ปุ๊บเราทุกคนเข้าใจว่าเป็นร้านขายเครื่องเพชร แต่การอ่านออกเสียงนี่คนละเรื่องเลย ต้องพูดว่า จูวล์-รี่ถึงจะถูก ไม่ต้องยืดยาวยึง 3 พยางค์แบบนั้น
7. leopard (n.) เล็พ-เพิร์ด
Panther, large member of the cat family having either tawny spotted fur or black fur
เสือดาว
ผมมีโอกาสไปฟังบรรยายเทคนิคการใช้งานภาษาอังกฤษโดยคุณ Christopher Wright และในวันนั้นที่จำได้ขึ้นใจเลยคือคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราชอบออกเสียงผิดบ่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ leopard ที่เราอ่านตรงๆเลยว่า ลีโอ-พ้าร์ด หารู้ไม่ว่าคำนี้ไม่ต้องออกเสียงตัว o อ่านสั้นๆง่ายๆว่า เล็พ-เพิร์ด  ก็พอครับ
8. salmon (n.) แซ-เมิน
Species of edible marine fish that spawns in freshwater and has tender pinkish flesh
ปลาแซลมอน
สำหรับคนที่รักการกินซูชิ ย่อมต้องเคยลิ้มลองปลาแซลมอนแน่นอน แต่ฝรั่งเค้ากลับอ่านคำนี้ว่าแซ-เมิน ซะงั้น ทำเอาผมเข้าใจผิดมาเป็นสิบๆปีเลยนะเนี่ย กับคนไทยสั่งปลาแซลมอนได้ไม่เป็นไร แต่กับฝรั่งถ้าตัดเสียง l ออกไปคงจะดีไม่น้อยนะครับ
9. sword (n.) ซอร์ด
Weapon consisting of a long straight or curved blade fixed to a hilt
ดาบ
มาอีกแล้วคำในตำนานสำหรับนักเล่นเกมส์ทั้งหลาย ใครเกิดทันเกมส์ Ragnarok บ้างเอ่ย คงคุ้นเคยกับอาชีพนักดาบ สะ-หวอด-แมน (swordsman) กันดีทุกคน แต่ถ้าจะอ่านให้ถูกจริงๆ คำจำพวก sword ให้ตัดเสียง w ออกไปได้เลยครับ อ่านเป็น ซอร์ด ง่ายขึ้นเยอะใช่มั้ยล่ะ
10. value (n., v.) แฟล-ยิ่ว
Prize, esteem, cherish; assess, estimate, appraise
คุณค่า ประเมิณค่า ให้ความสำคัญ
ขอปิดท้ายด้วยคำศัพท์ที่เสียงอ่านไม่เหมือนกับคำที่เห็นเอาซะเลย อย่าว่าแต่นักศึกษาเลยครับ แม้แต่อาจารย์ยังอ่านว่า แวลู่ ซึ่งก็โอเค ถ้าสื่อความหมายให้คนไทยด้วยกันเข้าใจได้ แต่สำหรับฝรั่งขืนอ่านแบบนี้มีงงแน่นอน ต้องอ่านว่า แฟล-ยิ่ว ออกจะกระดากปากไปบ้าง แรกๆผมเองก็ไม่ชิน แต่เพื่อความถูกต้องก็ต้องอดทนครับ
จะว่าไปแล้วคำว่า value ยังมีออกสอบใน TOEIC ด้วยนะ ลองดูได้ที่นี่เลย
สุดท้ายนี้ขอออกตัวนะครับว่าวิธีการอ่านออกเสียงในบทความนี้ไม่ใช่วิธีเดียวที่ถูกต้อง การอ่านจะขึ้นอยู่กับสำเนียง หรือพื้นที่ที่แตกต่างกันไป ผมใช้ Google Translate กับเว็บไซต์ Howjsay.com เป็นตัวช่วยในการออกเสียง + ประสบการณ์ส่วนตัวครับ
การที่เราสามารถออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง ถือเป็นขั้นแรกของการฝึกสนทนากับชาวต่างชาติ สักวันต้องมีโอกาสได้ใช้แน่นอน เห็นไหมว่าเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์นั้นง่ายนิดเดียว ติดตาม “10 ศัพท์ภาษาอังกฤษสุดฮิต คนไทยออกเสียงผิดบ่อย Part 2″  ได้ที่นี่เลยครับ ว่าแต่…10 คำศัพท์ในวันนี้เพื่อนๆอ่านถูกกันกี่คำบ้างเอ่ย ^^

Give me your word: เรื่องของคำมั่นสัญญาในภาษาอังกฤษ

ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราได้เจอบ่อยในชีวิตประจำวันก็หนีไม่พ้นเรื่องของ คำสัญญา (promise)ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตวัยเรียน สิ่งที่เราจะต้องพบเจอแน่นอนคือการนัดทำงานกลุ่ม ส่วนวัยทำงาน ก็ต้องเจอกับข้อตกลงและสัญญาต่างๆ
ทีนี้ถ้าเราอยากสัญญาอะไรกับใคร ต้องพูดว่ายังไงล่ะ? ผมขอแบ่งประเภทของ “คำสัญญา” ออกเป็น 4 แบบนะครับ มาดูกันเลย
promises
1. สัญญาทั่วๆไป
ใช้ประโยคที่ตรงตัวสุดๆ อย่าง “I promise.” (ฉันสัญญา) ได้เลยครับ นอกจากนี้ยังสามารถพูดว่า “You have my word.” ก็ได้ ซึ่งคำว่า word ในที่นี้คือคำมั่นของเรา นิยมใช้เวลาเราต้องการให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเราจะทำตามคำพูดนะ อาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องสำคัญ แล้วยังมีสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจและใช้ได้จริงคือ “I’m a man of my word” แปลว่า ฉันเป็นคนรักษาคำพูด นั่นเอง
2. สัญญาที่สำคัญ และเป็นทางการ
ถ้าเป็นสัญญาที่สำคัญ จริงจัง เป็นทางการมากๆ ให้ใช้คำว่า pledge แทน มักจะใช้ในเรื่องของการแสดงความจงรักภักดีต่อบุคคล องค์กรหรือสถาบันต่างๆ สามารถเป็นได้ทั้ง noun (คำสัญญา) หรือ verb (สัญญา) ก็ได้นะครับ เช่น
pledge my loyalty to His Majesty the King. (ข้าขอแสดงความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์)
I signed a pledge of money to a charity. (ฉันเซ็นต์ใบรับมอบเงินบริจาคให้องค์กรการกุศล)
3. คำปฏิญาณตน
สำหรับคำปฏิญาณตน หรือเกี่ยวข้องกับคำปฎิญาณในเชิงศาสนา ก็ให้ใช้คำว่า swear (สาบาน)แทน ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เราจะพูดต่อจากนี้เป็นความจริง เหมือนที่เราได้ยินบ่อยๆในหนังเวลาที่ใครจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญ
Note: swear ยังหมายถึง คำสบถ อีกด้วยนะ เช่น
Jack is being seriously annoying, so I swear at him pretty badly. (แจ็คทำตัวกวนบาทาสุดๆ ฉันก็เลยด่ามันไปซะเยอะเลย)
4. คำสาบานในงานแต่งงาน
คำว่า vow (ฟาว) คือคำมั่นสัญญาที่มักจะถูกใช้ในงานแต่งงานบ่อยที่สุดนะครับ มีใครเคยดูหนังรักเรื่อง The Vow บ้างเอ่ย มีประโยคหนึ่งที่พระเอกให้สัญญากับนางเอกว่า “I vow to fiercely love you in all your forms, now and forever. I promise to never forget that this is a once in a lifetime love.” หมายความว่ายังไงลองแปลกันดูนะครับ มีแต่สัญญารักเต็มไปหมดเลยแฮะ
แต่ถ้ามีคนมาผิดสัญญากับเรา ก็ให้ใช้คำว่า break หรือ went back on ได้เลยครับ เช่น
He broke his promise. (เขาทำผิดสัญญา)
He went back on his word. (เขาไม่รักษาคำพูด)
ถ้าเป็นการทำผิดสัญญาทางธุรกิจก็ให้ใช้คำว่า breach แทน เช่น
We decided to part ways with our partner because they breached our contract.
เราตัดสินใจแยกทางกับคู่ค้า เพราะพวกเขาทำผิดสัญญา
เคยมีคำกล่าวที่ว่า “There are some things you can’t get back, like words after they’re said and time once it’s gone” คราวนี้ถ้าคิดจะ make a promise กับใคร ก็ต้องทำตามคำพูดนะครับ แล้วมาเรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันง่ายๆได้ที่ DailyEnglish วันนี้ลาไปก่อนนะครับ

What is the time? บอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ


?
What’s the time?” ประโยคคำถามพื้นฐานที่อาจทำให้หลายๆคนเหวอกันได้ เพราะนึกคำตอบไม่ออก จะบอกยังไงดีให้ฝรั่งไม่งงน้า 
วันนี้ DailyEnglish มีวิธีการบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันครับ
สำหรับการถามเวลาเราสามารถพูดว่า:
1. What’s the time?
2. What time is it?
3. Do you have the time?
4. Have you got the time?
5. What time do you make it?


วิธีหลักๆในการบอกเวลาจะแบ่งเป็นสองแบบนะครับ
แบบแรกคือ British English – ใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) โดยจะใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. และ p.m. 
a.m. = ante meridiem = หลังเที่ยงคืน ถึง ก่อนเที่ยงวัน
(00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
p.m. = post meridiem = หลังเที่ยงวัน ถึง ก่อนเที่ยงคืน
(12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
  • เวลาเต็มชั่วโมง – ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา อาจเติมคำบอกเวลาหรือพูด “เอ-เอ็ม” และ “พี-เอ็ม” เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ เช่น 
10.00 a.m. = ten o’clock in the morning / ten a.m. (เท็น-เอ-เอ็ม)
04.00 p.m. = four o’clock in the afternoon / four p.m. (โฟร์-พี-เอ็ม)
สำหรับเวลาเที่ยงวันให้ใช้ noon และเที่ยงคืนให้ใช้ midnight
  • เวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกิน 30 นาที – ให้บอกนาทีนำหน้าตามด้วย “past” และชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น
09.25 a.m. = twenty-five past nine
05.12 p.m. = twelve past five
  • เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว – ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to”  และชั่วโมงถัดไปเช่น
07.50 a.m. = ten to eight
08.40 p.m. twenty to nine
อย่าลืม นะครับว่าหากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
06.15 a.m. = quarter past six
06.30 a.m. = half past six
06.45 a.m. = quarter to seven
clocktime
แบบที่สองคือ American English – ใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) ใช้ตั้งแต่เลข 0 ไปจนถึง 24 เลยครับ ไม่มี a.m. และ p.m. 
วิธีพูดคือบอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที มักจะใช้ในทางทหารหรืองานที่เป็นทางการหน่อยเพื่อไม่ให้สับสน เช่น
20.15 = twenty fifteen
08.05* = eight O five (เอท-โอ-ไฟฟ์)  *ใช้เสียง O (โอ) แทนเลขศูนย์ครับ
17.50 = seventeen fifty
เทคนิคเล็กน้อย: การบอกเวลาสามารถเติมคำประมาณได้ด้วยนะ อย่าง aboutaround หรือnearly เช่น
08.02 =It’s about eight o’clock
09.27 = It’s nearly half past nine
ส่วนตัวแล้วแอดมินชอบใช้แบบ British ตอนช่วง 30 นาทีแรกแต่ไม่ค่อยถนัดตอนใช้ “to” กับ 30 นาทีหลังเลยต้องใช้แบบ American แทนครับ แต่จริงๆแล้วต้องดูผู้ฟังด้วยนะว่าเข้าใจการบอกเวลาแบบไหน สมมติเวลา 7 โมงเช้า  50 นาที ถ้าเราบอกว่า “ten to eight ” ให้กับคนอเมริกันฟังเค้าอาจสับสนได้ จึงควรเปลี่ยนเป็น “seven fifty” แทน